7.การเปลี่ยนงาน
คำว่า “เปลี่ยนงาน” เข้าใจได้ 2 ความหมาย คือ เปลี่ยนที่ทำงาน และเปลี่ยนลักษณะงาน แต่โดยมากเมื่อพูดว่า “เปลี่ยนงานใหม่แล้วนะ” มักหมายความว่า เปลี่ยนที่ทำงานใหม่นั่นเอง
คนที่ทำงานที่เดียวตลอด เมื่อเห็นคนอื่นเปลี่ยนงาน ก็เกิดตั้งคำถามกับตัวเองว่า เมื่อไหร่ตัวเราจึงควรเปลี่ยนงานบ้าง
โดยปกติแล้วช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเปลี่ยนงานคือ 2-3 ปี บางคนบอกว่า ถ้านานกว่านี้จะรู้สึกเบื่องาน เมื่อทำงานอย่างไม่มีความสุข ผลงานก็จะออกมาไม่ดี ถ้าเร็วกว่านี้ก็ยังมีประสบการณ์ไม่มากพอที่จะนำไปใช้ต่อยอดในการทำงานที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้นได้
แต่จากสถิติการลาออกพบว่า 50% เป็นพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษาและเพิ่งทำงานในปีแรก เนื่องจากเด็กจบใหม่มักมองโลกสวยงามเกินกว่าความเป็นจริง เมื่อเจอปัญหาในการทำงาน ก็คิดว่าที่ทำงานนี้ไม่ดี เปลี่ยนไปทำที่ใหม่น่าจะดีกว่า
และเมื่อย้ายไปอยู่ที่ใหม่แล้ว หลายคนก็มักจะบ่นว่าไม่น่าลาออกเลย อยู่ที่ใหม่ก็เจอปัญหาเหมือนกัน บางอย่างอาจแย่กว่าด้วยซ้ำ แต่ก็ออกมาแล้วจะกลับไปที่เก่าก็ลำบากใจ
คนที่เปลี่ยนงานบ่อยอาจถูกมองได้แตกต่างกัน 3 มุมมองดังนี้
ขาดความอดทน คนที่ไม่มีความอดทน มักจะทำงานได้ไม่นานก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เพราะอยากทำแต่งานสบายๆ จึงพยายามหาที่ทำงานที่ตรงกับความต้องการของตนไปเรื่อยๆ
มีความสามารถ คนเก่งใครๆ ก็ต้องการ ไปที่ไหนก็ได้งาน จนต้องปวดหัวเพราะเลือกไม่ถูกว่าจะไปที่ไหนดี
· ทำงานไม่เก่ง คนที่หางานเก่ง ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเก่งเสมอไป การที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ อาจเป็นเพราะเขาไม่มีความสามารถเพียงพอ จึงต้องดิ้นรนหาที่ทำงานใหม่อยู่ตลอด
ถามตัวเองก่อนเปลี่ยนงาน ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หรือ
บางครั้งเกิดปัญหาเพียงนิดเดียว แต่เราคิดมากเกินไปเลยมองเป็นปัญหาใหญ่โต คนที่คิดแบบนี้เมื่อเปลี่ยนงานไป อาจรู้สึกเสียดายในภายหลัง
คนบางคนอดทนทำงานในที่ทำงานที่มีปัญหาเยอะ โดยไม่ยอมเปลี่ยนงานง่ายๆ เพราะเชื่อว่า ถ้าเราสู้กับมันได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่มีอะไรลำบากกว่านี้อีกแล้ว
แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ควรหางานใหม่ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจ ลองพูดคุยกับเพื่อนๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน จะได้มีข้อมูลของบริษัทอื่นๆ เอาไว้เปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่
ที่สำคัญ อย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ใช้เหตุและผลไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนจะดีกว่า จะได้ไม่เสียใจภายหลัง